บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับขนาดของเสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรงที่นิยมใช้มากที่สุด 6 ขนาด พร้อมแนะนำว่าแต่ละขนาดเหมาะกับงานแบบไหน และควรเลือกใช้อย่างไรให้เหมาะสม
1. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 6 เมตร
เหมาะสำหรับ: งานระบบไฟฟ้าขนาดเล็ก เช่น บ้านพักอาศัย หรือทางเดินในสวน
จุดเด่น: ขนาดกะทัดรัด ติดตั้งง่าย ไม่ต้องใช้เครื่องจักรใหญ่ เหมาะกับพื้นที่แคบ
โครงสร้าง: ส่วนยอดหน้าตัดประมาณ 12x12 ซม. ส่วนโคนประมาณ 18x18 ซม.
ฝังดิน: โดยทั่วไปฝังลึกประมาณ 1 เมตร เพื่อเสถียรภาพในการรับแรงลม
2. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 8 เมตร
เหมาะสำหรับ: งานไฟฟ้าแรงต่ำในหมู่บ้าน โครงการจัดสรร หรือถนนในชุมชน
จุดเด่น: ความสูงกำลังพอดี รองรับการติดตั้งสาย 1 เฟส หรือ 2 เฟส ได้ดี
โครงสร้าง: หน้าตัดยอดประมาณ 12x12 ซม. และโคนราว 20x20 ซม.
น้ำหนักโดยประมาณ: 490 กิโลกรัม
3. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 9 เมตร
เหมาะสำหรับ: ระบบไฟฟ้าแรงต่ำแบบ 3 เฟส หรือการเดินสายไฟในเขตเมือง
จุดเด่น: เป็นขนาดยอดนิยมที่ใช้ในงานของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) เนื่องจากสามารถรองรับน้ำหนักและแรงลมได้ดี
โครงสร้าง: ส่วนยอดหน้าตัดประมาณ 12x12 ซม. ส่วนโคนประมาณ 21x21 ซม.
น้ำหนักโดยประมาณ: 1,070 กิโลกรัม
4. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 12 เมตร
เหมาะสำหรับ: ถนนหลัก ทางหลวง หรือพื้นที่ที่มีสิ่งปลูกสร้างสูง
จุดเด่น: ช่วยให้เดินสายไฟพ้นจากสิ่งกีดขวาง เพิ่มความปลอดภัยและลดความเสี่ยงจากการแตะต้อง
5. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 14 เมตร
เหมาะสำหรับ: เขตอุตสาหกรรม แนวสายส่งที่ต้องการความมั่นคงสูง
จุดเด่น: รองรับแรงดึงจากสายไฟจำนวนมาก หรือสายแรงสูงที่มีน้ำหนักมาก
6. เสาไฟฟ้าคอนกรีตอัดแรง ขนาด 16 เมตร
เหมาะสำหรับ: งานพิเศษ เช่น เดินสายข้ามแม่น้ำ ข้ามทางรถไฟ หรือพื้นที่สนามบิน
จุดเด่น: ให้ระยะปลอดภัยจากสายไฟสูงสุด ลดความเสี่ยงจากการสัมผัส หรืออุบัติเหตุ
คุณสมบัติสำคัญของเสาคอนกรีตอัดแรงที่ควรพิจารณา
ใช้ลวดอัดแรง (PC Wire) ที่ถูกดึงให้ตึงก่อนการเทคอนกรีต เพิ่มความทนทานและความมั่นคง
กำลังอัดของคอนกรีต โดยทั่วไปอยู่ที่ 350–420 กก./ตร.ซม. ขึ้นอยู่กับมาตรฐานโรงงาน
ผลิตจากปูนคุณภาพสูง เช่น ปูนตราช้างหรือเทียบเท่า
ระยะห่างระหว่างเสา ควรอยู่ที่ประมาณ 20 เมตร เพื่อรักษาระดับแรงดึงของสายไฟ
สรุป
การเลือกขนาดเสาไฟฟ้าไม่ใช่แค่เรื่องของความสูงหรือราคา แต่ต้องพิจารณาจากประเภทของงาน, ระดับแรงดันไฟฟ้า, สิ่งแวดล้อมรอบจุดติดตั้ง และระยะห่างระหว่างเสา หากเลือกได้อย่างเหมาะสม ไม่เพียงช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบไฟฟ้าเท่านั้น แต่ยังประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว และลดโอกาสเกิดความเสียหายได้อย่างมาก